-=-=-=-=-=-=- กลับหน้าหลักเวบบอร์ด ของ www.4x4.in.th -=-=-=-=-=-=-

   SocialTwist Tell-a-Friend



 ปอนด์ๆ
 Posted : 22 / 2 / 2011, 09:54:27
 สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE

มีข้อความ
__  __

ดูแลระบบแอร์ เตรียมสู้หน้าร้อน
10 ขั้นตอน วิธีดูแลรักษาแอร์รถยนต์ให้ใช้งานใด้นานๆ

1. วิธีถนอมและยืดอายุใช้งานแอร์รถยนต์
รถยนต์สมัยใหม่แทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน เพียงดูจุดเล็ก ๆ สามารถยืดอายุการใช้งานได้ เช่น ไม่ปรับตำแหน่งของเทอร์โมสตรัทไปที่ Cool อยู่ตลอดเวลา จะช่วยถนอมคอมเพรสเซอร์ไม่ให้ทำงานหนักตลอดเวลา หรือไม่เปิดกระจกเมื่อเปิดแอร์ เพราะคอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก ต่อมาอาจใช้วิธีปิดการทำงานของคอมแอร์ แต่ยังเปิดพัดลมอยู่ ก่อนที่จะจอดรถ อย่างน้อยประมาณ 5 นาที ช่วยยืดอายุการใช้งานของอีแวปพอเรเตอร์ได้ โดยเฉพาะเวลากลางคืน อีแวปพอเรเตอร์ซึ่งมักจะทำด้วยอะลูมิเนียมจะผุกร่อน หรือทะลุช้ากว่าเดิม ยังช่วยขจัดกลิ่นอับจากเชื้อรา และอื่น ๆ ที่เป็นการก่อกำเนิดของเชื้อโรคได้อีกด้วย

2. ล้างตู้แอร์วิธีไหนคุ้มค่าสุด ๆ
ตามหลักการถอดตู้แอร์ออกมาล้างย่อมสะอาดกว่า ส่วนการล้างแบบไม่ถอดนั้นจะสะดวกและประหยัดเวลาประหยัดตังค์ หากกล่าวตามการใช้งานในชีวิตประจำวันมันขึ้นอยู่กับการดูแลของเจ้าของรถเอง มากกว่าว่าคุณดูแลรถของคุณแล้วดูแลในส่วนของระบบปรับอากาศอย่างไร คือ ถ้าคุณดูแลรักษาตู้แอร์เป็นประจำล้างแอร์เป็นประจำอยู่แล้ว การล้างโดยไม่ถอดตู้ก็คงจะเพียงพอที่จะช่วยให้ตู้แอร์คุณมีอายุการใช้งานที่ นานขึ้นได้ ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มที่ได้ เพราะระยะเวลาทุก ๆ 20,000 กม. คราบสกปรกคงไม่มากนักที่การล้างแบบไม่ถอดจะทำความสะอาดได้อย่างหมดจด หากคุณไม่เคยดูแลมันเลยไม่เคยล้างเลย แล้วจู่ ๆ ตันขึ้นมาอย่างนี้ แน่นอนว่าคราบสิ่งสกปรกมันคงจะมีมาก ก็สมควรที่จะถอดมาล้างจะดีกว่า แล้วหากคิดว่าจะให้ความสำคัญกับมันหลังจากถอดมาล้างในครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อ ๆ ไปก็ล้างแบบไม่ถอดก็ได้

3. เกิดคราบน้ำมันบริเวณข้อต่อต่าง ๆ อย่าไว้ใจ
คราบน้ำมันตามข้อต่อแสดงให้รู้ว่าเกิดการรั่วของสารทำความเย็น เพราะน้ำมันคอมเพรสเซอร์ที่ปนกับสารทำความเย็นในระบบ เมื่อสารทำความเย็นรั่วออกจากวงจรของการทำความเย็นเป็นสาเหตุให้เกิดคราบ น้ำมันบริเวณที่สารทำความเย็นรั่ว ถ้าพบคราบน้ำมันต้องทำการขันข้อต่อให้แน่น ถ้าจำเป็นเพื่อที่จะหยุดการรั่วของสารทำความเย็น จุดที่สามารถพบเห็นการรั่วได้บ่อย ๆ คือ ตามจุดข้อต่อต่าง ๆ ของท่อ ตามซีลและปะเก็นของคอมเพรสเซอร์

4. สาเหตุผิดปรกติที่แอร์ตัดบ่อย
คล้าย ๆ เส้นผมบังภูเขา ยิ่งถ้าอาการแอร์ไม่เย็นเกิดหลังจากการที่ไปล้างตู้แอร์ปัญหาก็อาจเกิดจาก ตัวเทอร์โมสตรัท หรืออุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ เพราะในปัจจุบันรถยนต์มักใช้ชนิดเทอร์โมสตรัทแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Type) ซึ่งไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ทำงานแม่นยำ และละเอียดกว่าแบบอื่น หากในการถอดล้างตู้แอร์จำเป็นต้องถอดอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกจากกัน เพื่อความสะดวกในการล้าง มักติดตั้งไม่เหมาะสม มันจะติดตั้งอยู่บริเวณครีบของอีแวปพอเรเตอร์ คือติดตั้งตัวที่วัดอุณหภูมิชิดกับครีบอีแวปพอเรเตอร์มากเกินไป หรือติดตั้งตัววัดอุณหภูมิในตำแหน่งที่ต่ำกว่าจุดอื่น ๆ ของอีแวปพอเรเตอร์ ทำให้เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงาน โดยเฉพาะในรอบเครื่องสูง ๆ

5. เลือกเอาระหว่างตู้อะลูมิเนียมกับตู้ทองแดง
อีแวปพอเรเตอร์ทำจากทองแดงมีความทนทานต่อการผุกร่อนมากกว่าทำจากอะลูมิเนียม แต่ในเรื่องของน้ำหนัก และคุณสมบัติในการนำความร้อน ต้องยอมรับว่าทองแดงด้อยกว่าอะลูมิเนียม ปัจจุบันมีผู้ผลิตแก้ไขจุดอ่อนของอีแวปพอเรเตอร์ที่ทำจากอะลูมิเนียมล้วน ๆ โดยนำเอาข้อดีของวัสดุทั้ง 2 มาใช้ร่วมมัน ซึ่งเอาทั้งอะลูมิเนียมและทองแดงเข้าด้วยกัน โดยส่วนที่เป็นท่อที่ขดไป-มา ซึ่งมักจะเกิดการผุกร่อนได้ง่ายก็จะทำจากทองแดง และส่วนที่เป็นครีบจะทำจากอะลูมิเนียม เพราะการนำความร้อนที่ดีนั่นเอง

6. เจอรอยรั่วหลังแปลงระบบ
การใช้คอมเพรสเซอร์เดิม จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนซีลยางและโอริงทุก ๆ ตัว เพราะคุณสมบัติของสารทำความเย็นระบบ R134a ที่ได้บอกไว้แต่ต้น โดยซีลยางในคอมเพรสเซอร์เดิม ๆ จะเป็นชนิด NBR (Nitrile Butadiene Rubber) แต่ของระบบ R134a จะเป็นชนิด HNBR หรือจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์แอร์ใหม่ที่เป็นระบบ R134a โดยเลือกขนาดให้เหมาะสมกับงานที่เอาไปใช้ โดยจุดสังเกตว่าคอมเพรสเซอร์ตัวไหนเป็น R134a คือ ที่เพลสด้านหลังคอมเพรสเซอร์จะเขียนไว้ว่า R134a

7. คลัตช์ลื่นแล้วทำไมแอร์ไม่เย็น
หากว่าทุกอย่างดีหมด ยกเว้นแมกเนติกคลัตช์มีอาการลื่นไถล หรือมีการตัดต่อบ่อยครั้งทั้งที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งอุณหภูมิ แต่อาการลื่นไถลอาจมาจากความสกปรกของหน้าสัมผัส เช่น เป็นสนิม หรือมีวัสดุเข้าไปติดขัด ซึ่งจะว่าไปอาการที่บอกนั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ที่อาจจะพบบ่อย ๆ คือ สายไฟขาดใน ปลั๊กหลวม อันนี้เป็นไปได้มากกว่า แต่ผมว่าลองตรวจสอบชิ้นส่วนอื่น ๆ ด้วยพร้อม ๆ กัน เพราะสาเหตุจริง ๆ ของอาการแอร์ไม่เย็นนั้นมีมากมายครับ

8. เราจะต้องล้างตู้แอร์เมื่อไหร่?
ถามมาว่าใช้ใช้เกณฑ์อะไรเป็นตัวตัดสิน ถึงจะล้างทำความสะอาดตู้แอร์สักครั้ง จะใช้เงื่อนไขของเวลา หรือระยะทางดี เพราะรถยนต์แต่ละคันมันก็ผ่านการใช้งานต่างกัน รถยนต์บางคันใช้งานมาแค่ปีเดียว แต่ก็ต้องวิ่งเป็นระยะทางกว่า 100,000 กม. ขณะบางคันอาจใช้งานแค่ 10,000 กม. ก็มีให้เห็นเช่นกัน ดังนั้นอาจบอกไม่ได้เฉพาะเจาะจงสำหรับรถยนต์แต่ละคัน ทางผู้ผลิตจึงแนะนำโดยใช้วิธีการเฉลี่ย โดยทำการล้างตู้แอร์ประมาณทุก ๆ 1 ปี หรือราว ๆ 20,000 กม. ก็ได้เหมือนกัน นอกจากการล้างตู้แอร์แล้ว ทางผู้ผลิตยังแนะนำให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ด้วยพร้อมกันเลย แน่นอนแบบนี้จะต้องปล่อยสารทำความเย็นเก่าออกให้หมดก่อน และถึงจะสามารถถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ได้

9. วาล์วแอร์จะเปลี่ยนตอนไหนถึงจะเหมาะ?
ไม่มีอะไรที่บอกได้แบบเฉพาะเจาะจงว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อไหร่ เพราะอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างเอ็กซ์แพนชั่นวาล์วผู้ผลิตแนะนำเอาไว้ที่ระยะทาง ประมาณ 50,000 กม. หรือเป็นเวลาประมาณ 2 ปีเศษโดยเฉพาะเอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว หากมีปัญหาระบบปรับอากาศรถยนต์จะมีปัญหามาก บางทีการฉีดสารทำความเย็นอาจเกิดการผิดพลาดได้ นอกจากสาเหตุสำคัญที่มันมักจะเสียหาย เช่น การอุดตัน บางครั้งการล้าตัวของสปริงภายในตัววาล์ว หลังผ่านการใช้งาน หรือชิ้นส่วนไม่ได้มาตรฐาน จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา แนะนำให้เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดอายุการใช้งาน แม้การทำงานยังปรกติ แต่ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ภายหลัง แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลยครับ อย่าฝืนใช้ เพราะถ้าหากมันงอแงขึ้นมาก็ต้องเสียเวลาในการถอดเปลี่ยน

10. ดรายเออร์ต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่?
อุปกรณ์สำคัญอย่างรีซีฟเวอร์ดรายเออร์จะมีอายุการใช้งานที่สั้นที่สุดเมื่อ เทียบกับอุปกรณ์ตัวอื่น ๆ ทางผู้ผลิตแนะนำให้เปลี่ยนทุก ๆ ระยะทางราว 30,000 กม. เนื่องจากอุปกรณ์ตัวนี้เมื่อเริ่มการใช้งานมันก็จะเสื่อมลงเรื่อย ๆ ตลอดเวลา เพราะเป็นอุปกรณ์ที่คอยกรองสิ่งสกปรกในระบบปรับอากาศ โดยกรองสิ่งสกปรกที่ปะปนมาพร้อมกับสารทำความเย็นในระบบ นอกจากนั้นมันยังมีสารดูดความชื้นภายในตัวรีซีฟเวอร์ดรายเออร์ สารดูดความชื้นมีทั้งแบบซิลิก้าเจล และโมบิลเจล ในระบบต่าง ๆ กัน โดยเจ้าสารดูดความชื้นนี้จะทำหน้าที่ดูดเอาความชื้นที่เกิดขึ้นในระบบ แล้วปะปนมากับสารทำความเย็นมาเก็บไว้ที่ตัวเอง ซึ่งสารดูดความชื้นมันก็มีวันที่จะถึงจุดอิ่มตัว

วิธีเบื้องต้นช่วยให้แอร์รถยนต์หายเหม็นอับชื้นและยืดอายุการใช้งานแอร์รถยนต์
สำหรับก่อนการดับเครื่องยนต์

1.ก่อนหยุดรถและดับเรื่องยนต์ หรือก่อนจะถึงที่หมาย ท่านต้องปิดระบบน้ำยาแอร์ หรือที่เราเรียกว่า ปุ่ม A/C นั่นแหละ
2.เปิดพัดลมแอร์ให้สุด เพื่อไล่น้ำที่ค้างในตู้แอร์ คลีบคอยล์เย็นแอร์ เพื่อให้คอยล์เย็นแอร์แห้งโดยใช้เวลาซัก 3-4 นาที
3.หลังจากนั้นท่านจึงปิดสวิทช์เป็น 0 แล้วดับเครื่องยนต์
สำหรับการสตาร์ทรถเพื่อเดินทาง
1.ท่านจะต้องอุ่นเรื่องยนต์ให้ได้อุณภูมิปรกติซะก่อน โดยติดเครื่องยนต์ใว้ประมาณชัก5นาที
2.เปิด พัดลมแอร์อย่างเดียวให้สุดเลยครับโดยที่ยังไม่เปิดระบบน้ำยาแอร์( A/C )นะครับในขั้นตอนนี้ เพื่อระบายความร้อนในห้องโดยสาร (กรณีที่จอดรถตากแดดทำให้ห้องโดยสารร้อนมากๆ อาจจะต้องเปิดกระจกประตูช่วยด้วย)
3.เมื่อเครื่องยนต์เดินได้คงที่แล้ว คอยเปิดน้ำยาแอร์เพื่อให้มันทำงานปรกติแล้วเมื่ออากาศเริ่มเย็นค่อยเริ่มเบา ลมตามความต้องการได้ครับ
เท่านี้เราก็จะได้ใช้แอร์รถยนต์ของเราไปนานแสนนาน

เครดิตhttp://www.mu7club.com



 

ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 192.168.212.39   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น :   &  ปิด - เปิด การถาม/ตอบ ในกระทู้  &  แก้ไข]

   kouprey
 Posted : 22 / 2 / 2011, 10:55:48
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 1
ปอนด์อย่าลืมตอนใกล้หน้าฝนด้วยนะ เรื่องน้ำเข้าตู้ปลาอ่ะ

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.74.47   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   ปอนด์ๆ
 Posted : 22 / 2 / 2011, 11:06:06
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 2
คลิ๊กที่ภาพ

ได้ครับพี่เอ็กซ์ .... อิอิอิ

สำหรับคาริเบี้ยน ข้อมูลป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าห้องโดยสารคิดว่ายากจะแก้ไข

ใช้ปั๊มน้ำสูบออกไปเลย ง่ายสุด....555

ข้อมูลพร้อมครับสำหรับปั๊มน้ำ

ปั้มน้ำ DC ไฟกระแสตรง (DC Pump 12V.)

เป็นเครื่องสูบน้ำกระแสตรง(DC) ใช้ไฟจากแบตเตอรี่หรือโซล่าร์เซล น้ำหนักเบาเพียง 1.3 Kg. พกพาสะดวก เหมาะสำหรับสูบน้ำจากบ่อน้ำขนาดเล็ก ที่มีอัตราการเปิดใช้งานไม่นานนัก หรือ สูบน้ำออกจากเรือ บ่อเลี้ยงปลา เปลี่ยนถ่ายน้ำ และตั้งแคมป์พักแรม อัตราการสูบน้ำสูงสุด 70 ลิตรต่อนาที



 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 192.168.212.39   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   kouprey
 Posted : 22 / 2 / 2011, 13:24:43
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 3


 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 118.172.43.167   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  ชายเนียน
 Posted : 22 / 2 / 2011, 14:01:56
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 4
ความรู้ดีๆ แถมมีฮาด้วย....

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.24.157.136   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   กวางต้นน้ำ
 Posted : 22 / 2 / 2011, 16:49:56
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 5
ฝากซื้อสักตัวคับพี่ปอนด์

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 124.121.3.113   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

Page :    1

[ ปิดหน้าเพจ ]

ย้ายเวบบอร์ดไป VISION13 แล้ว




© Copyright 2000 - 2012 Allrights reserved.
Powered by www.suzuki4x4.net ™ Version 2.2.1 ®
 www.4x4.in.th