-=-=-=-=-=-=- กลับหน้าหลักเวบบอร์ด ของ www.4x4.in.th -=-=-=-=-=-=-

   SocialTwist Tell-a-Friend



 Gasung
 Posted : 22 / 4 / 2010, 21:50:30
 สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE

มีข้อความ
__  __

แผ่นดินเลือด


คลิ๊กที่ภาพ

ปลายปี พ.ศ.2527 ผมมีอายุย่างเข้าสิบแปดปี แต่ร่างกายและจิตใจฉกรรจ์เกินวัย เพราะผ่านการท่องป่าผจญภัย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้งหลายครา เจียนอยู่เจียนไปด้วยพิษไข้ป่าก็บ่อยครั้ง หลงป่า อดข้าว แต่มันก็ไม่ทำให้ผมเข็ดหลาบ ยังคงปราถนาจะก้างย่างไปบนหนทางแห่งพงไพร ท่องไปในป่าพม่า เขตปกครองเมืองมะริด ทวาย ที่มีกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ KNU ปกครองอยู่
ก้าวแรกที่ได้เหยียบไปบนผืนแผ่นดินใหม่ก็ได้สัมผัสการต้อนรับด้วยรอยยิ้มอัน อบอุ่นจากนักรบน้อยประจำด่าน ผู้คนล้วนแปลกหน้าแปลกภาษา จึงทำให้อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น เมื่อการเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนนักรบกอร์ซูเลย์ โลกใหม่ๆได้ปรากฎขึ้น เส้นทางฝุ่นที่ทอดคดเคี้ยวไปมา บางครั้งข้ามลำธารเล็กๆใสเย็น บางครั้งข้ามเขาสูง และบางคราวผ่านเข้าไปในหมูบ้านอันเงียบสงบร่มรื่น เพียงพบด้วยสายตาก็แทบจะทำให้เลือดลมแล่นผ่านไปทั้งร่าง วิถีผู้คนเยี่ยงนี้ยังหลงเหลืออยู่อีกหรือ ผมพร่ำถามตัวเองตลอดเส้นทาง
กระท่อมไม้ไผ่พื้นฟาก หลังคามุงใบกะพ้อ ยกสูงเพียงบันไดสามขั้นเมื่ออยู่รวมกันหลายหลัง แต่ถ้าอยู่แบบสันโดษจะยกพื้นสูงท่วมหัวให้พออุ่นใจในยามนอน ฟากเขาพอย่ำเท้าถึง ก็แผ้วถางพลิกดินปลูกข้าวไว้กินเอง ยามว่างแซมผัก พริก ถั่ว งา ยาสูบ ตะวันรอนคอนฟืนกลับเรือนไว้หุงต้ม ค่ำลงล้อมวงเปิบข้าวกลางแสงตะเกียงวับแวม คืนหนาวมีนาเด่ยบรรเลงลำนำเพลงไพร พวกเขาหลับฝันถึงทุ่งดาวที่แสงจันทร์ทอพราวบนฟ้ากว้าง
การเดินทางครั้งต่อๆมาผมได้พานพบหลายสิ่งหลายอย่างที่เลือนหายไปจากสังคมที่ พร่ำบอกตัวเองว่าเจริญ นั่นคือการแบ่งปัน โดยไม่มีราคาค่างวด พวกเขายินดีเสมอเมื่อผมร่วมล้อมวงอยู่ในอาหารมื้อค่ำ ถึงบ้านช่องจะคับแคบแต่สายตาบ่งบอกว่าสุขใจหลังจากผมเอนหลังล้มตัวนอน แผ่นดินนี้ได้ให้อะไรกับผมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
พอถึงปลายปี พ.ศ.2542 ลมหนาวโชยมาอย่างอ่อนล้า สิ่งที่ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้นจนได้ ทหารพม่าทุ่มสรรพกำลังเข้าโจมตีกะเหรี่ยง KNU อย่างรุนแรงกว่าทุกปี จนแตกพ่ายยับเยิน ชาวบ้านหนีตายกระเซอะกระเซิงเข้ามาอาศัยแผ่นดินไทยนับเรือนหมื่น นักรบ KNU กลุ่มล่าสุดหนีไปจนตรอกที่หมู่บ้านกะม่าปลอว์ โดยไม่ระแคะระคายเลยว่ามันคือ"สุสาน"ที่จะฝังกลบร่างพวกเขา

ผมทนฟังเสียงปืนใหญ่ที่ยิงข้ามหัวจากฝั่งไทยไปตกยังหมู่บ้านกะม่าปลอว์ทุก วันด้วยในปวดร้าว ผมพบผู้อพยบมากมายเตลิดผ่านมากลางไร่ด้วยความตื่นตนก พวกเขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น ในโลกที่มองไม่เห็น บางครั้งก็มีเรื่องราวมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ เช่นเดียวกับคนๆหนึ่ง ได้พบพานเรื่องราวมากมายมาชั่วชีวิตเมื่อเขาตายไป เรื่องราวต่างๆก็จะถูกกลบฝังไปพร้อมร่างและวิญญาณ แต่ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครสนใจบันทึกไว้ แน่ล่ะ! เขาไม่ใช่คนดังนี่ โลกไม่อยากรู้จักเขา เขาเป็นเพียงชาวป่ายากไร้ มีชีวิตธรรดาคนหนึ่งเท่านั้น
ในสมัยก่อนโน้นกว่าจะได้แสงเทียนสักเล่มก็ต้องฆ่าวาฬเสียก่อน ชีวิตพวกเขาก็ไม่ต่างไปขากวาฬนักหรอก ถึงจะหลั่งเลือดปกป้ปงแผ่นดินเพียงใด สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรเลย
บันทึกเล่มนี้ ผมเขียนเพื่ออุทิศให้กับเพื่อนพ้องนักรบกอซูเลย์ ถึงมันจะไม่ใช่หลักฐานประวัติศาสตร์ ที่ควรค่าแห่งความทรงจำ แต่มันเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาในห้วงเวลาหนึ่ง วันเวลาอาจลบเลือนแผลเป็นให้หายได้ แต่.....ความทรงจำนั้นไม่มีทางเลย
...............................................................บุหลัน รัน ตี.............................................................................




ผมหยิบเอาย่อหน้าในหนังสือเล่มใหม่ "แผ่นดินเลือด" ของพี่โต้ง หรือ บุหลัน รันตี ที่เพิ่งออกมาล่าสุดซึ่งเป็นเล่มที่ 11 ของพี่แกแล้วครับ เล่มนี้เป็นแนวนวนิยายที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริง ท่านผู้อ่านทราบไหม
ครับว่า พลังงานที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่นั้น ส่วนหนึ่งต่อท่อมาจากประเทศพม่า วางท่อกันยาวนับร้อยกิโลเมตร และที่สำคัญ แนวท่อนั้นมันตัดผ่านแผ่นดินกะเหรี่ยงแห่งนี้ครับ นอกจากจะตัดไม้กันอย่างมโหราฬบานตะไท บริษััทระยำนี้ยังมีส่วนให้กะเหรี่ยงบ้านแตกสาแหรกขาด ลูกขาดพ่อ แม่ขาดลูก
พวกเราคนไทยที่คิดว่าตัวเองเจริญแล้ว แต่กลับทำตัวเยี่ยงโจรปล้นแผ่นดินเพื่อเพียงพลังงานให้มีชีวิตอยู่อย่าง สบาย.........................ใครที่สนใจใคร่หาอ่าน ติดต่อที่ สำนักพิมพ์บ้านหนังสือได้ครับ โทร 0-2580-2978 เล่มนี้หนาเอาการครับ 530 หน้า

 

ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 115.87.132.159   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น :   &  ปิด - เปิด การถาม/ตอบ ในกระทู้  &  แก้ไข]

  จอมมาร
 Posted : 22 / 4 / 2010, 22:48:22
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 1
มาอีกแล้วครับท่าน
ตากะซังมีนิยายมานำเสนออีกแล้ว

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 222.123.37.180   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   TIKTOK
 Posted : 23 / 4 / 2010, 09:53:54
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 2
หนังสือยังมีจำหน่ายใหม่ครับพี่ อย่าอ่านจัง

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 58.9.180.186   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  ชายเนียน
 Posted : 23 / 4 / 2010, 10:11:02
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 3
โชคดีที่เรายังมีแผ่นดินอยู่

ถึงจะไม่สามัคคีกันเท่าไหร่ก็เหอะ

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 124.120.79.159   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   กวางต้นน้ำ
 Posted : 23 / 4 / 2010, 11:34:14
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 4


 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 58.8.118.186   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  กะทิสด/FG-02
 Posted : 23 / 4 / 2010, 17:35:43
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 5
...รูสึกตอนนี้...มีถนนอย่างดีขึ้นเขาปลาน้อย...เพื่อเป็นเส้นทางทำป่าไม้ของ บจก. ของไทยที่ได้สัมปะทาน....ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงมั้ยครับ...

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.24.212.164   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  ple
 Posted : 23 / 4 / 2010, 18:05:19
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 6
Perhaps this is our future? If the political situation be like this! Damm!

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 158.108.83.194   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   kouprey
 Posted : 23 / 4 / 2010, 19:40:12
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 7
เพราะฉนั้นเราต้องหวงแหนแผ่นดินที่เราอยู่ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง แล้วนึกถึงทหารที่เป็นรั้วของชาติตามชายแดนจริงๆเลย

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.54.201   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   Gasung
 Posted : 23 / 4 / 2010, 20:15:17
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 8
25 มกราคม พ.ศ.2543 ผู้กองซอว์เบี๊ยะกับเชปูถูกสังหารที่โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี พร้อมนักรบพระเจ้าทั้งสิ้น 10 คนโดยไร้เงานักศึกษาพม่า

16 มกราคม พ.ศ. 2544 อีกหนึ่งปีถัดมา สองพี่น้องแฝดลิ้นดำ จอลูและจอดา หรือ ลูเธอร์-จอว์หนี่ ฮะตู ผู้นำนักรบพระเจ้า ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับทางการไทย พร้องกองกำลังที่รอดชีวิตเพื่อยุติสงครามล้างเผ่าพันธุ์

ผู้กองดาไวย์และจอห์นี่ ทู นักรบลิ้นดำ พากองกำลังที่เหลือหลบหนี โดยได้รับการช่วยเหลือของอ่องแลและอ่องริน สหายชาวมอญลงไปทางใต้สมทบกับกองกำลังเรดแฟล็ก

พ.ศ. 2548 จอว์หนี่ ฮะตู แฝดผู้น้องจอดา เสียชีวิตลงในศูนย์อพยบบ้านต้นยาง สังขละ กาญจนบุรีด้วยโรคทางเดินหายใจบกพร่อง

17 กรกฎาคม พ.ส. 2549 จอห์นนี่ ทู นักรบลิ้นดำหนึ่งในผู้นำนักรบพระเจ้า พร้อมแกนนำอีก 8 คน เข้ามอบตัวกับทางการพม่าเพื่อยุติบทบาททั้งหมด

ชาวกะเหรี่ยงกว่า 50,000 คนไร้ที่อยู่ พากันอพยบเข้าสู่ประเทศไทยทางด้านจังหวัดกาญจนบุรี และ ราชบุรี อาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามหมู่บ้านชายแดน ส่วนหนึ่งมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่ และอีกกว่า 10,000 คนอยู่ในศูนย์อพยบ เพื่อรอการส่งตัวไปประเทศที่สาม ( ศูนย์บ้านต้นยาง 3,500 คน ศูนย์บ้านถ้าหินสวนผึ้ง 8,500 คน )

ปัจจุบันกองกำลังกะเหรี่ยงKNUทางด้านตะวันตก เขตปกครอง มะริด-ทะวาย ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆเพื่อรอวันที่ชนชาติกัเหรี่ยงจะมีประเทศเป็นของตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็นความฝันที่ห่างไกลความเป็นจริง และจะต้องสูญเสียนักรบกอซูเลไปอีกเท่าใดก็ตาม พวกเขาจะยังคงมุ่งมั่นต่อไป...................

หนังสือต้องสอบถามไปที่พี่ ขจรฤทธิ์ รักษา บรรณาธิการ สำนักพิมพ์บ้านหนังสือครับ 0-2580-2978

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 115.87.131.50   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  กะเด้งจัง
 Posted : 24 / 4 / 2010, 23:07:22
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 9
น่าอ่านมาก สุดยอดแห่งการต่อสู่ผมชอบอยากได้สักเล่ม

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 183.89.161.89   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  ความต่อเนื่องไม่ลืม
 Posted : 26 / 4 / 2010, 19:40:38
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 10
ชีวประวัติตระกูลบ่วงราบ กับความสัมพันธ์ ไทย-มะริด-ทะวาย-ตะนาวศรี
เนื่องในวันครบรอบ ๑๓๔ ปี และ ๒๙๓ ปี ต้นตระกูล
บวงสรวงศาลฯ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓

ประวัติเชื้อสายตระกูลบ่วงราบ คำบอกเล่าจากบรรพบุรุษและชาวบ้านรุ่นปู่ทวดย่าทวดที่เล่าต่อกันมาชั่วลูกหลาน ว่าสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายนั้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ปกครองเมืองชุมพร เจ้าเมืองชุมพร นามว่า พระยาชุมพร (พวย) ถือธงปักษี เป็นตราประจำตระกูลบ่วงราบ และช่วงกรุงศรีอยุธยากองทัพพม่ายกทัพมาตีเมืองชุมพรทางช่องด่านทัพต้นไทรเข้าสู่เมืองชุมพรกองทัพชุมพรสู่ไม่ไหวเพราะมีกำลังน้อยเพราะว่า พระยาชุมพร (พวย) ได้นำกำลังส่วนหนึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพเรือ เข้ารักษาพระนครกรุงศรีอยุธยา เจ้าเมืองกรมการผู้เป็นลูกจึงได้นำชาวบ้านหนีพม่าจากริมแม่น้ำชุมพรบริเวณชุมชนบ้านนาซึ่งเป็นเมืองชุมพรเดิมเข้าอยู่ป่าเขาถ้ำขุนกระทิงตั้งแต่นั้นมา บรรพบุรุษจึงมีถิ่นกำเนิดของตระกูลอยู่บริเวณชุมชนโบราณเขาถ้ำขุนกระทิง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ตั้งรับข้าศึกที่ดี และไม่ไกลจากเมืองชุมพรมากนัก
รุ่นที่ ๓ พระยาเพชรกำแหงสงคราม หรือ หลวงปักษี (ครุฑ หรือ น้อย บ่วงราบ) พ.ศ.๒๓๓๐-๒๔๒๕ ชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าคุณหลวงปักษี” หรือ “น้อยปักษี” และได้ทำการค้าขายกับชาวจีนที่มาค้าขายกับเรือกำปั่นบริเวณเมืองชุมพรและอังกฤษที่เมืองมะริดสมัยนั้น (เมืองมะริดอยู่ในประเทศพม่าในปัจจุบัน) มีบุตร ๒ คน คนแรกชื่อนายคลุ้ม หรือ คุ้ม บ่วงราบ และคนที่สองเป็นหญิง (ไม่ทราบนาม มีทายาท ณ ชุมชนขุนกระทิง) นายคลุ้ม หรือ คุ้ม บ่วงราบ ได้แต่งงานกับลูกสาวชาวจีนที่มาค้าขายฝั่งทะเลอ่าวไทย (ตระกูลลิ้ม) ในปี พ.ศ.๒๔๐๘ (รอบันทึกการเดินเรือจากจีนสู่เมืองชุมพรของตระกูลลิ้ม) และได้ค้าขายฝั่งทะเลอันดามันที่เมืองมะริดโดยการเดินทางผ่านช่องด่านทัพต้นไทร ผ่านบ้านถ้ำดิน ลงแพที่ท่าปริก เดินทางต่อมาขึ้นบกที่ท่าแพเขากล้วย บ้านนาพร้าว แล้วเดินทางด้วยแพต่อถึงบ้านบ้องขอน แล้วไม่สามารถถ่อแพไปได้เพราะน้ำลึกมาก จึงต้องเดินทางด้วยเรือ แล้วขึ้นจากเรือพักที่บ้านหลาจุดศูนย์รวมก่อนกระจายออกชื้อขายสินค้า ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านทุ้งค้อ หรือดอนขนุน แล้วเดินทางเข้าค้าขายที่บ้านทุ่งใหญ่ และเข้าตัวเมืองมะริด การเดินทางค้าขายระหว่างเมืองต้องใช้กองทัพในการคุ้มครองสินค้าเพื่อป้องกันการปล้นของโจรป่าและโจรสลัด
รุ่นที่ ๔ นายคลุ้ม หรือ คุ้ม บ่วงราบ พ.ศ.๒๓๘๕-๒๔๗๔ น่าจะมีนามสัญญาบัตรว่า ขุนกระทิง ก่อนถูกลดบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดิน ในปี พ.ศ.๒๔๒๐ ได้รวบรวมไพร่พลเข้าปราบอั้งยี่ที่เกิดขึ้นในเมืองชุมพร ต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางราชการจึงตั้งนามสกุลเป็นการตอบแทน "นามสกุลหลวงตั้งให้" ให้นามว่า “บ่วงราบ” เป็นการผสมคำ บ่วง มาจากภาษาบาลีแปลว่า สกุล ตระกูล หรือ อำนาจในการควบคุมบริวารและศัตรู และคำว่า ราบ มาจากคำว่า ปราบ หรือ ทหารราบ หรือ ทำให้สงบ สันติสุข มีความหมายว่า ตระกูลปราบอั้งยี่ และได้ค้าขายกับชาวจีนอยู่ ๒ ครั้ง และขาดการติดต่อไป
รุ่นที่ ๕ นายลิ้ม บ่วงราบ พ.ศ.๒๔๑๐-๒๔๙๑ ในปี พ.ศ.๒๔๖๔ ก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายช้างเผือกเข้าพระบรมราชวังในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นลูกช้างเผือก อายุ ๖ เดือน ๑ เชือก ลูกของแม่พังครอง ตกลูกใต้ถุนบ้าน ลักษณะบ้านเป็นเรือนไทยเสาไม้แดงทั้งต้นกว่า ๒๐ ต้น ตั้งบนดินเคลื่อนย้ายได้และช้างสามารถลอดใต้ถุนบ้านได้ และในสมัยรัชกาลที่ ๗ ช้างเผือกอีก ๑ เชือก ได้ส่งขายสวนสัตว์ ประเทศสิงคโปร์ แต่ทางการไทยทราบว่าเป็นช้างเผือก จึงได้ทำการไถ่ถอนกลับประเทศไทย และได้ตาม นายลิ้ม บ่วงราบ มาเพื่อยืนยันว่าเป็นช้างที่ส่งไปประเทศสิงคโปร์จริง ที่สถานีรถไฟชุมพร ช่วงระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๘-๒๔๗๒ ได้ถ่ายภาพคู่กับช้างเผือกในมือถือไม้ตะพตและอีกมือจับหูช้างเผือก เดิมภาพแขวนอยู่ที่บ้านและได้เสียหายช่วงพายุไต้ฝุ่นเกย์ พ.ศ.๒๕๓๒ หลังจากทางการไทยนำช้างเผือกกลับก็ต้องส่งลูกช้างอีก ๑ เชือกให้กับประเทศสิงคโปร์ โดย นายคิด บ่วงราบ เดินทางไปส่งลูกช้างและฝึกลูกช้างที่ประเทศสิงคโปร์ ด้วยเรือกำปั่นไฟจากเมืองชุมพร ไปเมืองท่าประเทศสิงคโปร์ และสันนิษฐานว่าเป็นตระกูลสร้าง วัดบ้านนา และวัดอื่นๆ ฯลฯ เพราะบรรพบุรุษจะสั่งให้ลูกหลานบวชและณาปนกิจศพวัดแถบนี้ตลอดมาทุกรุ่น จากคำบอกเล่าของ นายเริ่ม สุขเจริญ อายุ ๑๐๐ ปี มีชีวิต พ.ศ.๒๔๔๘-๑๓ ก.ค.๒๕๔๘ อยู่บ้านบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ผู้ให้การเคารพนับถือต่อบรรพบุรุษและลูกหลานของตระกูลบ่วงราบตลอดมา เล่าให้ฟังเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ และนายคิด บ่วงราบ อายุ ๗๓ปี เล่าให้ฟังเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๘ มีชีวิต พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๓๑ รวมถึงผู้เฒ่าผู้แก่ญาติพี่น้องและพระสงฆ์ที่ยังจำรายละเอียดได้อีกหลายท่านเป็นผู้ให้ข้อมูล นายคิด บ่วงราบ เป็นผู้ถือตราทัพและแหวนตราประจำตำแหน่งพระราชทาน คนสุดท้ายก่อนขายให้กับร้านทองในเมืองชุมพรสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ช่วงข้าวยากหมากแพง ภาพแหวนตราประจำตำแหน่งตระกูลบ่วงราบปรากฎในภาพถ่ายการแต่งงานระหว่าง นายคิด บ่วงราบ กับ นางสาวยุ้ย ศรีจันทร์ ซึ่งสวมอยู่นิ้วนางมือซ้ายใช้เป็นแหวนแต่งงานในปี พ.ศ.๒๔๘๒
รุ่นที่ ๖ นายคุ้ม บ่วงราบ พ.ศ.๒๔๒๙-๒๔๘๙ ชาวบ้านทั่วไปสมัยนั้นรู้จักในนามว่า "เสือคุ้ม" เป็นที่รู้จักของบรรดาเสือและกองกำลังด้วยกัน ในจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และสุราษฏร์ธานี เพราะได้ตั้งกองกำลังร่วมกับ นายพรานชม ตีเมืองมะริด เมืองทะวาย เมืองตะนาวศรี เพื่อเอาดินแดนประเทศไทยคืนจากประเทศพม่าที่เสียดินแดน จนได้ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคนไทยพลัดถิ่นต้องอพยพเข้าประเทศไทยในจังหวัดชุมพร และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และบันปลายชีวิต อายุ ๖๐ ปี ได้เสียชีวิตระหว่างการค้าขายจากเมืองมะริด ประเทศพม่า และได้ฝังศพไว้แหลมริมแม่น้ำมะริด บริเวณชุมชนบ้านบ้องขอน เมืองมะริด ประเทศพม่า ผ่านมาแล้วกว่า ๖๔ ปี ลูกหลานยังไม่สามารถนำกระดูกกลับมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลได้ เพราะทางรัฐบาลพม่าได้ส่งทหารมาอยู่บริเวณบ้านบ้องขอน เมืองมะริด และเข้มงวดมากขึ้น


 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 61.19.51.101   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  sana
 Posted : 23 / 10 / 2010, 07:49:57
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 11
มหาอำมาตย์ เจ้าพระยายมราช (ครุฑ บ่วงราบ) (พ.ศ. 2330 - พ.ศ. 2425) อดีต เสนาบดีกรมเวียงในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและอดีตเจ้าเมืองชุมพร ทั้งยังเป็นผู้ควบคุมถนนเจริญกรุงตอนใน และวัดสุบรรณนิมิตร อีกด้วย

[แก้] ประวัติ
เจ้าพระยายมราช (ครุฑ บ่วงราบ) นามเดิม พระยาเพชรกำแหงสงคราม (ครุฑ) เจ้าเมืองชุมพร ในปี พ.ศ.2369-2404 เป็นบุตร พระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม(มี) เจ้าเมืองพุมเรียง(ไชยา) มีปู่ชื่อ พระยาชุมพร(พวย) เจ้าเมืองชุมพร มีพี่น้องร่วมมารดา 4 คน

1.พี่สาวแต่งงานกับ จีนซุ้ด เมืองจันทบุรี-ตราด ต้นสกุล สูตะบุตร
2.เจ้าพระยายมราช (ครุฑ บ่วงราบ) เมืองชุมพร ต้นสกุล บ่วงราบ
3.พระยาสุธรรมไมตรี (ห้อง สังสสูตร) กรุงเทพมหานคร ต้นสกุล หังสสูตร
4.น้องสาว แต่งงานกับ จีน มารดา นายชั่ง หรือ ตราชู กรุงเทพมหานครเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ต้นสกุล ตุลยานนท์
[แก้] ผลงาน
เจ้าเมืองชุมพร จนได้เลือนบรรดศักดิ์เป็น เจ้าพญายมราชชาติเสนางคนรินทรมหินทราธิบดี (เจ้าพระยายมราชชาติเสนางคนรินทรหินทราธิบดี) หรือ เจ้าพระยายมราช (ครุฑ บ่วงราบ)เสนาบดีกรมเวียง ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
สร้างวัดสุบรรณนิมิตร ตำบลตากแดด อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ในปี พ.ศ.2371
ในปี พ.ศ.2405-2407 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ เป็นแม่กอง รับผิดชอบการก่อสร้างถนนเจริญกรุงตอนใน คือช่วงระยะทางตั้งแต่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามถึงสะพานดำรงสถิต (สะพานเหล็ก) กว้าง ๔ วา โดยสร้างเป็นถนนดินอัด เอาอิฐเรียงตะแคงปูให้ชิดกัน ตรงกลางนูนสูง เป็นถนนสายแรกของประเทศไทย
คณะข้าหลวงปักปันเขตแดนไทย-พม่าอย่างเป็นทางการครั้งแรกของไทย ในการให้สัตยาบันครั้งนี้ถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าเมืองมะริด ทะวาย และตะนาวศรี เป็นดินแดนของประเทศพม่าที่อยู่ในบังคับของอังกฤษ นับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 61.19.51.101   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   สิงห์
 Posted : 23 / 10 / 2010, 11:27:39
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 12
ลองๆ ค้นๆ หาๆ ประวัติศาสตร์ ภายหลังการเสียดินแดนทางใต้ให้อังกฤษ ทางรัฐปัตตานีมีปฏิกิริยาอย่างไรมาอ่านดู จะเข้าใจอะไรขึ้นมาอีกพอสมควร สำหรับแผ่นดินเลือดอีกแผ่นแห่งนี้



 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 161.246.82.70   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   kouprey
 Posted : 23 / 10 / 2010, 21:30:02
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 13
นึกว่าตาหนวด Gasung กลับมาซะอีก

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.25.37.109   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   JJ
 Posted : 28 / 10 / 2010, 14:24:20
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 14
บาปกรรมของประเทศ

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.26.58.216   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  ขอแจมหน่อย
 Posted : 4 / 11 / 2010, 13:00:39
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 15
อยากให้เผยแผ่ ออกไปเยอะๆ เขาจะได้รู้ สึก รักและหวงแหนประเทศ ให้มากขึ้น อยากให้ "เขา" เหล่านั้นคิดสักนิดนึง ถ้าไม่มีประเทศอยู่ "เขา" จะเป็นเช่นไร น่าจะเหมือนในคริปข้างบนหรือเปล่า เป็นบุญ วาสนาสูงส่งที่สุดแล้ว ที่ได้เกิดเป็นคนไทย หยุด ทำร้ายประเทศไทย ไม่ไช่แค่ปากพูดอย่างเดียว นะท่านๆทั้งหลาย

 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 125.26.169.86   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   RFAT5
 Posted : 5 / 11 / 2010, 11:10:02
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 16
คลิ๊กที่ภาพ

ไทยพลัดถิ่นในเขตตะนาวศรี หรือที่ทางราชการเรียกว่า ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย[1] เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยสยาม ที่อพยพมาอยู่ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย หลังการยึดครองของอังกฤษ ชาวไทยเหล่านี้จึงกลายเป็นสัญชาติพม่า แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องฝั่งไทยตลอด และมีชาวไทยในเขตตะนาวศรีที่เข้ามาทำคลอดในฝั่งไทย และต้องการให้บุตรเป็นสัญชาติไทย เพราะมีความเกี่ยวดองกับฝั่งไทย และส่วนใหญ่ทางแถบจังหวัดเกาะสอง (วิกตอเรียพอยท์) ของพม่าก็มีชาวไทยมากมาย แต่ในปัจจุบันยังถือว่าชาวไทยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนไร้สัญชาติ

ประวัติ
ในหลักศิลาจารึกมีบันทึกว่า ดินแดนของอาณาจักรไทยทางฝั่งตะวันตกในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้แผ่ขยายไปจนถึงหงสาวดีจดอ่าวเบงกอล และในบันทึกของมิชชันนารีที่เข้ามาติดต่อกับไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ได้บันทึกชื่อของเมืองทวายและตะนาวศรีว่าเป็นเมืองในอาณาจักรสยาม ตามปรากฏในพงศาวดาร

ในด้านประวัติศาสตร์ตะนาวศรีปรากฏตัวและมีฐานะเป็นรัฐอิสระก่อนการเกิดอาณาจักรพะโค เมาะตะมะ อังวะ สุโขทัย และอยุธยา เอกสารประวัติศาสตร์หลายชิ้นระบุว่า ตะนาวศรีเป็นเมืองที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสยาม[2] ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสยามสมัยอยุธยาระบุว่า มะริดและตะนาวศรีเป็นสมบัติของกษัตริย์สยาม[3] สยามสมัยพระนารายณ์มหาราชมีอาณาเขตแผ่ถึงปัตตานี ลาว ภูเขียว เขมร อังวะ พะโค และมะละกา มีเมืองท่าสำคัญคือมะริด และภูเก็ต และมีจังหวัดสำคัญคือ พิษณุโลก ตะนาวศรี กรุงเทพฯ และเพชรบุรี[4][5][6] เอกสารบางชิ้นระบุการดำรงอยู่ของชาวสยามในมณฑลตะนาวศรี อาทิคณะราชทูตจากเปอร์เซียที่กล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ. 2228 "ตะนาวศรีเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์มีพลเมืองที่เป็นคนสยามประมาณ 5-6 พันครัว"[7]

ในอดีตที่ผ่านมา เช่นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองมะริด และตะนาวศรี ถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากของไทย เนื่องจากเป็นเมืองที่พ่อค้าต่างประเทศทางอินเดีย และยุโรปนำสินค้าจากทางเรือขึ้นมาค้าขายในเมืองไทย ถึงกับมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองที่มีความรู้ความสามารถให้ปกครองดูแล และด้วยความสำคัญทางยุทธศาสตร์เช่นนี้ ในอดีตไทยกับพม่าจึงมักมีศึกชิงเมืองมะริด ตะนาวศรี กันบ่อยครั้ง

ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไทยและพม่า ได้ผลัดกันเข้าครอบครองดินแดนทั้ง 3 นี้ แม้บางช่วงจะอยู่ในฐานะหัวเมืองที่ไม่ขึ้นกับใครโดยตรง เช่นในปีพ.ศ. 1883 ที่พระยาเลอไทย ราชโอรสของพระเจ้ารามคำแหงได้ขึ้นครองราชย์สมบัติแทน หัวเมืองมอญได้ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับไทย และได้มาตีเอาเมืองทะวายและตะนาวศรีจากไทยไปได้

กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย เคยได้ให้ทัศนะว่า เมืองตะนาวศรี และเมืองทวายเป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย พม่าชิงเอาไปสมัยพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้กรุงศรีอยุธยา เมืองทวายมีไพร่บ้านพลเมืองเป็นทวาย เมืองตะนาวศรีมีไพร่บ้านพลเมืองมีทั้งพวกเม็งหรือมอญและไทยปะปนกัน ผู้คนเมืองมะริดมีญาติพี่น้องอยู่ในกรุงศรีอยุธยา[8]

หรือในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เมื่อปี พ.ศ. 2302 ซึ่งเป็นช่วงของรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ รัชกาลสุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอลองพญากษัตริย์พม่าได้ยกกองทัพมาตีเมืองทวายซึ่งขณะนั้นแข็งเมืองอยู่ และได้ยกพลตามมาตีเมืองมะริดและตะนาวศรีของไทยไปได้ด้วย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2330 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พยายามยกทัพไปตีเมืองทวายคืนจากพม่า แม้จะไม่สำเร็จ แต่ในอีก 4 ปีต่อมา คือ พ.ศ. 2334 เมืองทะวาย ตะนาวศรี และมะริด ก็มาสวามิภักดิ์ขอขึ้นกับไทย

ในปี พ.ศ. 2366 ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อังกฤษเริ่มเข้ายึดหัวเมืองชายฝั่งทะเลของพม่า รวมทั้งตะนาวศรี มะริด และทวาย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของภาคตะนาวศรี พร้อมทั้งได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจทำแผนที่ เพื่อจะได้รู้จักสภาพภูมิประเทศ ทรัพยากร และขอบเขตของเมืองที่ตนยึดได้ เมื่อมาถึงทิวเขาตะนาวศรีจึงได้ทราบว่าฝั่งตะวันออกของทิวเขาตะนาวศรีเป็นอาณาเขตของประเทศไทย

ภายหลังในปี พ.ศ. 2408 จึงได้ส่งข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดียมาติดต่อกับรัฐบาลไทยเพื่อขอให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษเป็นการถาวร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การปักปันเขตแดนไทย-พม่าอย่างเป็นทางการครั้งแรกของไทย ในการให้สัตยาบันครั้งนี้ถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าเมืองมะริด ทะวาย และตะนาวศรี เป็นดินแดนของประเทศพม่าที่อยู่ในบังคับของอังกฤษ นับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา

ในช่วงปี พ.ศ. 2408 – 2410 มีการตั้งคณะข้าหลวงปักปันเขตแดน เพื่อดำเนินการร่วมสำรวจและชี้แนวเขตแดนของตนตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จนถึงจังหวัดระนอง โดยฝ่ายไทยได้แต่งตั้งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหกลาโหม ผู้บังคับหัวเมืองฝ่ายใต้เฉียงตะวันตก เป็นข้าหลวงมีอำนาจเต็ม และมี เจ้าพระยายมราช (ครุฑ บ่วงราบ) พระยาเพชรบุรี และพระยาชุมพร(กล่อม) รับผิดชอบตั้งแต่เขตจังหวัดกาญจนบุรี ถึงจังหวัดระนอง ส่วนอังกฤษได้ตั้ง Lieutenant Arthur Herbert Bagge เป็นข้าหลวงมีอำนาจเต็ม

เมื่อการสำรวจทำแผนที่ และทำบัญชีรายละเอียดเกี่ยวกับที่หมายเขตแดนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้มีการประชุมจัดทำอนุสัญญา (Convention) ขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2411 และได้มีการให้สัตยาบันกัน ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 ภายหลังจากฝ่ายไทยได้ตรวจสอบเห็นว่าแผนที่ The Map of Tenasserim and the adjacent provinces of the Kingdom of Siam ที่อังกฤษจัดทำขึ้นใหม่นั้นถูกต้องแล้ว นับแต่นั้นแนวพรมแดนระหว่างไทยพม่าตั้งแต่สบเมยถึงปากแม่น้ำกระบุรี จึงได้เปลี่ยนจากเส้นเขตแดนที่ยอมรับโดยพฤตินัย มาเป็นเส้นเขตแดนที่กำหนดขึ้นโดยอนุสัญญา บัญชีที่หมายเขตแดนแนบท้ายอนุสัญญา และแผนที่แนบท้ายอนุสัญญา

ในอนุสัญญา ได้ระบุเส้นเขตแดนตรงแม่น้ำกระบุรีว่า “..ตั้งแต่เขาถ้ำแดงตามเขาแดนใหญ่มาจนถึงปลายน้ำกระใน เป็นเขตแดนจนถึงปากน้ำปากจั่น ลำแม่น้ำเป็นกลาง เขตแดนฝ่ายละฟาก เกาะในแม่น้ำปากจั่นริมฝั่งข้างอังกฤษเป็นของอังกฤษ ริมฝั่งข้างไทยเป็นของไทย เกาะขวางหน้ามลิวันเป็นของไทย แม่น้ำปากจั่นฝั่งตะวันตกเป็นของอังกฤษ ตลอดจนถึงปลายแหลมวิคตอเรีย ฝั่งตะวันออกตลอดไปเป็นของไทยทั้งสิ้น...”

สรุปว่า ในครั้งนั้นกำหนดให้แม่น้ำเป็นกลาง ให้ฝั่งเป็นเขตแดน ฝั่งด้านตะวันตกเป็นของพม่า ฝั่งด้านตะวันออกเป็นของไทย สำหรับเกาะในแม่น้ำถ้าชิดฝั่งตะวันตกก็ให้เป็นของอังกฤษ ถ้าชิดฝั่งตะวันออกก็ให้เป็นของไทย สำหรับเกาะขวางให้เป็นของไทย

กล่าวได้ว่า ในการให้สัตยาบันครั้งนี้ถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าเมืองมะริด ทวาย และตะนาวศรี เป็นดินแดนของประเทศพม่าที่อยู่ในบังคับของอังกฤษ นับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา

หลังวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 หลวงปักษี (คลุ้ม บ่วงราบ) บุตร เจ้าพระยายมราช (ครุฑ บ่วงราบ) ได้ส่งกำลังเข้ายึดและปกครอง เมืองมะริด ทวาย และตะนาวศรี อย่างลับ ๆ จนถึง นายคุ้ม บ่วงราบ ชาวบ้านรู้จักในนาม "เสื้อคุ้ม" ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขอความร่วมมือตีย่างกุ้ง พร้อมกองทัพญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็ไม่มีกำลังต่อสู้พม่าได้ และนายคุ้ม บ่วงราบ ถูกลอบสังหารที่ บ้านบ้องขอน เมืองมะริด พ.ศ. 2489 และนายพรานชม ดูแลกองกำลังและปกครอง จนถึง พ.ศ. 2492 และชาวบ้านบางส่วนเริ่มเดินทางกลับประเทศไทย จนถึง พ.ศ. 2520 หลังจากนี้รัฐบาลพม่าผลักดันอย่างหนัก จนเกิด "ไทยผลัดถิ่นในปัจจุบัน"

เซอร์เจมส์ สก๊อตต์ ระบุว่า ประชากรสยามในมณฑลตะนาวศรีภายใต้จักรวรรดิอังกฤษมีประมาณ 19,631 คน คนสยามอาศัยอยู่ในอำเภอทวาย อัมเฮิสต์ และมะริด[9] กลุ่มคนสยามอาศัยอยู่ในเขตตะนาวศรีในช่วงนั้นตะนาวศรีมีฐานะเป็นมณฑล ประชากรปี พ.ศ. 2444 มีประมาณ 1,159,558 คน ประกอบด้วยคนพม่า กะเหรี่ยง มอญ ฉาน จีน และสยาม คนสยามอาศัยอยู่บริเวณพรมแดนทางตอนใต้ของพม่า โดยเฉพาะอำเภอมะริด อัมเฮิสต์ และทวาย[10] มะริดอยู่ใต้สุดของพม่า ในปี พ.ศ. 2444 มะริดมีประชากรประมาณ 88,744 คน ในจำนวนนี้มีคนสยามอาศัยอยู่ในตัวเมืองมะริดประมาณ 9,000 คน[11] มะริดในตอนต้นศตวรรศที่ 20 แบ่งการปกครองเป็น 5 ตำบล (Township) คือ มะริด ปะลอ (Palaw) ตะนาวศรี ปกเปี้ยน (Bokpyin)[12] และมะลิวัลย์ (Maliwun)[13] ปกเปี้ยนมีประชากร เมื่อปี พ.ศ. 2444 ราว 7,255 คน ร้อยละ 18 พูดภาษาพม่า ร้อยละ 53 พูดภาษาสยาม ร้อยละ 20 พูดภาษามลายู[14] ตำบลมะลิวัลย์มีประชากรประมาณ 7,719 คน ประกอบไปด้วยชาวสยาม ชาวจีน และมลายู และคนพม่าแทบหาไม่พบ[15] ตำบลตะนาวศรีตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของอำเภอมะริด และอยู่ติดแดนสยาม ประชากรปี พ.ศ. 2434 มีประมาณ 8,389 คน เพิ่มขึ้นเป็น 10,712 คน ในปี พ.ศ. 2444 ในจำนวนนี้ร้อยละ 40 พูดภาษาสยาม[16] เมืองสะเทิมอยู่ติดทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำสาละวิน ครอบคลุมพื้นที่อาณาจักรมอญเดิม ปี พ.ศ. 2444 มีประชากร 343,510 คน ในจำนวนนี้มีชาวสยามประมาณ 10,000 คน[17]

ในหนังสือ Imperial Gazetteer of India ระบุว่าชาวสยามกระจายเป็นคนส่วนน้อยในอำเภออื่นของมณฑลตะนาวศรี เช่นอัมเฮิสต์ และทวาย ในอัมเฮิสต์ (ปัจจุบันคือเมืองไจก์กามี) สยามตั้งอาณานิคมขนาดเล็กของตน[18] ทวายปี พ.ศ. 2444 มีประชากรประมาณ 109,979 คน และเพียง 200 คนเท่านั้นที่แสดงตนเป็นคนสยาม[19]

อย่างไรก็ตามบรรพบุรุษของชาวไทยพลัดถิ่นบางส่วนนั้น ได้อพยพมาจากไทยในช่วงศึกถลาง ซึ่งในช่วงสงครามนี้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จากคำบอกเล่าของบรรพบุรุษทำให้คนไทยพลัดถิ่นทราบว่าญาติของพวกเขาบางส่วนโยกย้ายถิ่นฐานหลังสงครามเพราะหนีความวุ่นวายทางการเมือง และภาวะข้าวยากหมากแพงหลังสงครามเพื่อไปตั้งถิ่นฐานอีกฝั่ง การย้ายถิ่นเป็นการโยกย้ายไปอยู่รวมกับวงศาคณาญาติที่เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว[20]

แม้ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวจะกลายเป็นพื้นที่ของประเทศพม่าไปแล้วแต่ชาวไทยในเขตตะนาวศรียังมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเช่นเดียวกันกับคนไทย และรัฐบาลพม่าก็มิได้มีการเข้ามาแทรกแซงในวิถีชีวิตของไทยในพื้นที่ดังกล่าว จนกระทั่งมีการสู้รบกันในประเทศพม่า ทำให้ชาวไทยพลัดถิ่นในตะนาวศรีอพยพกลับมาในฝั่งไทย และได้ร้องขอสัญชาติไทยจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลไทยได้ออกบัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่นให้ถือระหว่างที่รอขอสถานะการเป็นคนไทย อย่างไรก็ตามยังมีคนไทยพลัดถิ่นจำนวนไม่น้อยที่ตกสำรวจทำให้ไม่มีบัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่นดังกล่าว วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2546 นายประเสริฐ อินทรจักร คนไทยพลัดถิ่นได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จับกุม และตั้งข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ศาลจังหวัดระนองได้มีคำพิพากษาว่าคนไทยพลัดถิ่นถือว่าเป็นคนเชื้อชาติไทยแต่ไม่มีสัญชาติไทย สามารถได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ ซึ่งศาลได้มองว่าคนเชื้อชาติไทยย่อมจะมีสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศไทย แม้ในช่วงที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย

ที่มาhttp://th.wikipedia.org

 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 61.19.51.101   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

  up
 Posted : 12 / 2 / 2011, 12:13:11
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0

มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 17


 


ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 61.19.51.101   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

   c_phuket
 Posted : 12 / 2 / 2011, 18:55:15
สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น สำหรับผู้ดูแลหรือเจ้าของบอร์ดเท่านั้น

LIKE


 จำนวนถาม :
 จำนวนตอบ :
 รวมทั้งหมด : 0


มีข้อความ
__  __

ข้อความเลขที่ : 18


 



ชอบ 0
ชอบ ข้อความ : L I K E
เลิกชอบ ข้อความ : U N L I K E
Board : vision12
IP 182.53.254.166   [ ★ สำหรับ เจ้าของกระทู้ (สมาชิกพิเศษ) เท่านั้น : ตอบ หรือ ลบ หรือ แก้ไข คำถามนี้ ]
กลับขึ้นด้านบน

Page :    1

[ ปิดหน้าเพจ ]

ย้ายเวบบอร์ดไป VISION13 แล้ว




© Copyright 2000 - 2012 Allrights reserved.
Powered by www.suzuki4x4.net ™ Version 2.2.1 ®
 www.4x4.in.th